การขุดบิตคอยน์ (Bitcoin mining) เป็นกระบวนการที่ใช้ความสามารถในการคำนวณทางคณิตศาสตร์เพื่อการก่อสร้างบล็อกใหม่ในเครือข่ายบิตคอยน์ กระบวนการนี้เป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้ธุรกรรมของบิตคอยน์ถูกยืนยันและบันทึกลงในบล็อกเชน (Blockchain) ทำให้บิตคอยน์เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ปลอดภัยและมีความน่าเชื่อถือสูงได้.

กระบวนการขุดบิตคอยน์เกิดขึ้นโดยที่คอมพิวเตอร์ของผู้ที่เข้าร่วมในเครือข่ายบิตคอยน์ (Miners) จะทำการแก้ปัญหาคริปโทกราฟี (Cryptographic Puzzle) โดยใช้ความสามารถในการทำคำนวณแบบทดลองและลองผิดพลาดเพื่อหาค่าที่ถูกต้อง (Nonce) ซึ่งเป็นค่าที่ทำให้บล็อกใหม่มีค่าของฟังก์ชันแฮช (Hash Function) ที่น้อยที่สุดเมื่อนำเข้าค่าที่กำหนดมา. การหาค่านี้ต้องใช้เวลาและพลังงานมาก และต้องทำซ้ำโดยการเปลี่ยนแปลงค่า Nonce จนกว่าคอมพิวเตอร์จะหาค่าที่ถูกต้อง.

เมื่อคอมพิวเตอร์ของ Miner หาค่า Nonce ที่ถูกต้องแล้ว บล็อกใหม่นี้จะถูกสร้างขึ้นและนำเข้าในเครือข่ายบิตคอยน์ นอกจากนี้ยังได้รวมธุรกรรมที่เกิดขึ้นในเครือข่ายในบล็อกด้วย การสร้างบล็อกใหม่นี้จะถูกประกาศในเครือข่ายและถูกส่งต่อให้กับโหนดอื่น ๆ ในเครือข่าย ทำให้ธุรกรรมในบล็อกถูกยืนยันและบันทึกลงในบล็อกเชน การขุดบิตคอยน์นี้ได้รับรางวัลค่าขุด (Mining Reward) ซึ่งเป็นรางวัลในรูปของบิตคอยน์ที่เพิ่มขึ้นในกระเป๋าเงิน (Wallet) ของ Miner ที่สร้างบล็อกนั้น ๆ

คนที่สร้างบิตคอยน์คือบุคคลหรือกลุ่มที่มีนามสกุลว่า Satoshi Nakamoto (สโตชิ นากาโมโต) ซึ่งเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์และนักคณิตศาสตร์ แต่ต้องทำความเข้าใจว่า Satoshi Nakamoto เป็นนามปากกาเท่านั้น และไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดเกี่ยวกับตัวตนจริงของเขา การสร้าง Bitcoin ถูกแสดงในบทความ "Bitcoin: A Peer-to-Peer Electronic Cash System" ที่ถูกเผยแพร่ในเว็บไซต์ P2P Foundation ในเดือนพฤศจิกายน 2008 และซอร์สโค้ดของ Bitcoin ได้ถูกเผยแพร่เมื่อมกราคม 2009 ตั้งแต่เวลานั้นไป ชื่อ Satoshi Nakamoto และการสร้าง Bitcoin นั้นกลายเป็นเรื่องสำคัญและท้าทายในวงการคริปโตและเทคโนโลยีบล็อกเชน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญกว่าคือความเป็นที่ยอมรับและการใช้งานของ Bitcoin ที่ได้รับความนิยมและก้าวไกลในระดับทั่วโลกในปัจจุบัน

Bitcoin ทำงานด้วยการนำเสนอระบบเครือข่ายบล็อกเชนที่ทำงานแบบคริปโทกราฟี (Cryptographic Proof) หรือที่เรียกว่า Proof of Work (PoW) โดยมีกระบวนการหลัก ๆ ดังนี้:

1. การทำธุรกรรม: ผู้ใช้ต้องทำธุรกรรมของ Bitcoin โดยการส่งหรือรับ Bitcoin ระหว่างกระเป๋าเงิน (Wallet) ผู้ใช้คนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง หรือกลุ่มคนหลายคน

2. การยืนยันธุรกรรม: ธุรกรรมทั้งหมดจะถูกรวบรวมในกลุ่มที่เรียกว่า "บล็อก" และนำเข้าไปยังเครือข่าย Bitcoin ซึ่งกำลังทำงานอยู่

3. กระบวนการขุดบล็อก (Mining): บล็อกที่มีธุรกรรมเพื่อการทำธุรกรรมของ Bitcoin ถูกสร้างขึ้นโดยการขุดบล็อก คอมพิวเตอร์ที่เข้าร่วมในกระบวนการขุดบล็อกจะแก้ไขปัญหาคริปโทกราฟีเพื่อยืนยันและบันทึกธุรกรรมในบล็อกใหม่

4. การพิสูจน์ความสำเร็จ (Proof of Work): ในกระบวนการขุดบล็อก คอมพิวเตอร์ต้องหาค่าที่ถูกต้อง (Nonce) ซึ่งทำให้บล็อกมีค่าของฟังก์ชันแฮช (Hash Function) ที่น้อยที่สุดเมื่อนำเข้าค่าที่กำหนดมา การหาค่านี้เป็นกระบวนการที่ต้องใช้พลังงานมากและใช้เวลานาน การพิสูจน์ความสำเร็จที่คอมพิวเตอร์หาได้นี้จึงเป็นตัวบ่งชี้ว่าคอมพิวเตอร์ได้มีส่วนร่วมในกระบวนการขุดบล็อก

5. การเพิ่มบล็อกใหม่: เมื่อคอมพิวเตอร์หาค่าที่ถูกต้องและพิสูจน์ความสำเร็จสำเร็จแล้ว บล็อกใหม่นี้จะถูกเพิ่มลงในเครือข่าย Bitcoin และถูกส่งต่อให้กับโหนดอื่น ๆ ในเครือข่าย

6. การยืนยันธุรกรรมเสร็จสิ้น: เมื่อบล็อกใหม่ถูกเพิ่มลงในเครือข่าย ธุรกรรมที่อยู่ในบล็อกนั้นจะถูกยืนยันว่าเสร็จสิ้นและได้รับการบันทึกลงในบล็อกเชน

ขั้นตอนข้างต้นจะเกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่งทำให้ข้อมูลในบล็อกเชนของ Bitcoin เป็นที่เชื่อถือและคงทน และบล็อกเชนจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมีการเพิ่มบล็อกใหม่ในเครือข่าย ทำให้ข้อมูลทั้งหมดของ Bitcoin อยู่ภายในเครือข่ายเช่นเดียวกันในทุกๆ โหนด ทำให้สามารถติดตามและตรวจสอบการทำธุรกรรมได้โดยง่ายและแม่นยำ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ Bitcoin เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีความนิยมและก้าวหน้าในโลกคริปโตเสมอไป

การทำธุรกรรมในบล็อกเชน (Blockchain) ถูกพิจารณาเป็นปลอดภัยเนื่องจากมีลักษณะที่ช่วยให้ความเชื่อมั่นในความถูกต้องและความปลอดภัยของข้อมูล ดังนี้:

1. การใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน: เทคโนโลยีบล็อกเชนทำงานด้วยการกระจายข้อมูลของธุรกรรมให้กับทุกๆ โหนดในเครือข่าย ซึ่งทำให้ข้อมูลไม่อยู่ในที่เดียวกันและไม่สามารถถูกแก้ไขหรือประมวลผลโดยหนึ่งแห่งเพียงคนเดียว ทำให้การเปลี่ยนแปลงของข้อมูลหรือการโกงเป็นไปไม่ได้

2. การพิสูจน์ความสำเร็จ (Proof of Work): ในบล็อกเชนบางแบบ เช่น ในกรณีของบิตคอยน์ การขุดบล็อกต้องใช้พลังงานมากและเวลานานเพื่อหาค่าที่ถูกต้อง (Nonce) ซึ่งทำให้มีความยากในการทำธุรกรรมใหม่ๆ หากมีการโจมตีเพื่อเปลี่ยนแปลงข้อมูลในบล็อกเก่า เนื่องจากต้องเปลี่ยนแปลงบล็อกทั้งหมดตั้งแต่บล็อกนั้นถึงบล็อกปัจจุบัน

3. การตรวจสอบโดยคนในเครือข่าย: ข้อมูลในบล็อกต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบโดยคนในเครือข่าย (nodes) ซึ่งตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของธุรกรรม การทำธุรกรรมที่ไม่ถูกต้องจะไม่สามารถเพิ่มลงในบล็อกเชนได้ ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลในบล็อกเชนเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง

4. การเข้ารหัส (Cryptography): ข้อมูลในบล็อกเชนถูกเข้ารหัส (hashed) และเชื่อมโยงกับบล็อกก่อนหน้า ทำให้ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในบล็อก จะทำให้ค่าแฮชเปลี่ยนไป และต้องทำการเข้ารหัสใหม่ทั้งบล็อกตามมา ซึ่งจำเป็นต้องทำการขุดบล็อกใหม่ทั้งหมดในเครือข่าย

5. ความโปร่งใส: บล็อกเชนเปิดเผยข้อมูลที่ถูกต้องและเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของบล็อกทั้งหมด ทำให้สามารถตรวจสอบประวัติของการทำธุรกรรมได้ตลอดเวลา ทำให้ความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของเครือข่าย

การทำธุรกรรมในบล็อกเชนดังกล่าวทำให้เครือข่ายบล็อกเชนเป็นระบบที่มีความน่าเชื่อถือสูงและปลอดภัย ทำให้บล็อกเชนเป็นเทคโนโลยีที่นิยมในการใช้งานและในหลากหลายอุตสาหกรรม เ